iBankSmart
|  
 ตะกร้าสินค้า (0)  |  
 

วิญญาณที่ผูกพัน 1

ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องผีมา ผีมีหลายประเภท ทั้งผีปอบ ผีเปรต ผีกระสือ ผีกระหัง สารพัดผีมากมายหลากหลาย แต่ผีที่ฉันจะเล่านี้ เป็นผีที่น่ารักมาก อย่าคิดไปไกล ไม่ใช่ แคสเปอร์นะ ไม่ใช่ แคสเปอร์ตัวนั้นแน่นอน ผีตัวนี้เป็นลูกหมาที่น่ารักของฉันและ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จากเรื่องจริงของผู้เขียนที่ได้พบเจอกับตัวเอง

มันเป็นประสบการณ์ ตรงที่เกิดขึ้นกับฉันเอง ตอนที่ฉันยังเด็ก ตอนนั้นพ่อซึ่งฉันรักมาก แต่ก็ไม่แพ้แม่หรอก เพราะพ่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้ฉัน ในการที่พ่อมีคติประจำตัว คอยบอกฉันอยู่เรื่อย ๆ ให้ดำรงชีวิตแบบไหน วันที่ฉันได้รางวัลจากการสอบชิงทุนชนะ พ่อเอาลุกหมาตัวหนึ่งมาให้ฉัน เป็นหมาพันธุ์เทอร์เรีย สีขาว มันเป็นลูกหมา ฉันถูกตาถูกใจกับมันมาก เพราะมันทั้งอ้อนฉัน ทั้งเลียขาฉัน ทำให้ฉันหลงรักมันตั้งแต่ที่แรกเห็น ฉันเลยถามพ่อว่า จะตั้งชื่อมันว่าอะไรดี พ่อตอบกลับมาว่า เป็นของลูกแล้ว ให้ลูกตั้งชื่อเองเถอะ ฉันก็ดีใจที่พ่อ ให้โอกาสฉันได้ตัดสินใจเอง แต่ฉันก็นึกอยู่หลายวัน จนมาได้ชื่อนี้ ชื่อ ข้าวจี่

ตลอดเวลาที่ฉันเลี้ยงดู เจ้าข้าวจี่มา เจ้าข้าวจี่ทำตัวดีมาก ว่านอนสอนง่าย จนเวลาล่วงเลยมาหลายปี ถ้าเป็นคนคงอายุ 50 ปีแต่สำหรับเจ้าข้าวจี่นั้น อายุ 5 ปี ตอนนั้น ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งต้องเดินทางไปเรียนในต่างจังหวัด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าข้าวจี่ก็ไม่เคยทำหน้าที่บกพร่อง หน้าที่ของเจ้าข้าวจี่คือ ตอนเย็นทุกเย็น จะต้องไล่เป็ดเข้าเล้า และไล่เป็ดได้ดีซะด้วยสิ การไล่เป็ดของข้าวจี่นั้น คือการเห่า เป็ดจะเดินเข้าเล้า โดยไม่มี การแตกแถวแต่อย่างใด จะเข้าเล้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวจี่เป็นหมาที่รอบคอบและฉลาด มันจะตรวจดูเป็ดทุกตัวว่า เข้าเล้าหมดหรือยังโดยการเดินดูรอบ ๆ เล้าเป็ด เสร็จแล้วถ้าไม่มีเป็ดอยู่รอบ ๆ เล้าแล้ว เจ้าข้าวจี่จะเห่าเรียกน้าหมี ซึ่งเป็นน้าของฉัน มาปิดเล้าเป็ด น้าหมีจะรู้โดยอัตโนมัติ ว่าเป็ดเข้าเล้าหมดแล้ว ก็จะเดินมาปิดประตูเล้า เจ้าข้าวจี่นั้นเป็นหมาที่ฉันรักมาก ถ้าฉันกินอะไรแล้ว ฉันก็จะเขี้ยวให้มันกินเสมอ เพื่อว่า มันจะได้จำเจ้าของมันได้ ฉันและเจ้าข้าวจี่ จะเข้ากันได้ดี และหน้าที่ของข้าวจี่ อีกอย่างหนึ่งคือ ไปส่งฉันตอนเช้า ทุกเช้า ไปรับฉันทุกวันตอนเย็นโพล้เพล้ บ้านฉันอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัย แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่มีเจ้าข้าวจี่ไปรับไปส่งฉันที่ท่ารถทุกวัน

แล้วเช้าวันหนึ่ง ที่ฉันมีกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยแต่เช้า โดยฉันรีบร้อนมาก เข้าเช้าก็ไม่ได้กิน เพราะรุ่นพี่มารอที่ท่ารถหมู่บ้านแล้ว ฉันได้แต่เพียงบอกกับแม่ว่า วันนี้อาจกลับบ้านค่ำนะแม่ แล้วฉันก็ออกจากบ้านไป แม้วันนี้จะเช้ากว่าปกติก็ตาม แต่เจ้าข้าวจี่ก็ยังไปส่งฉันที่ท่ารถหมู่บ้าน เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เจ้าข้าวจี่ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ หรือทำหน้าที่บกพร่องแม้สักครั้งก็ไม่มี อาจเป็นเพราะมันพูดไม่ได้ก็เป็นได้ เมื่อมาถึงท่ารถแล้ว ฉันก็บอกให้เจ้าข้าวจี่กลับบ้านไปได้แล้ว เช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เจ้าข้าวจี่ก็กระดิกหางรับ นัยน์ว่าตกลง แล้วฉันก็นึกในใจว่า ถ้าเจ้าข้าวจี่ไม่มารับฉัน คืนนี้ต้องแย่แน่ เพราะว่าวันนี้ต้องกลับบ้านดึกมาก

ระหว่างที่ฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้น ฉันกำลังทำกิจกรรมอยู่ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับครอบครัวฉัน เป็นการสูญเสียครั้งหนึ่งของครอบครัว เจ้าข้าวจี่ที่มาส่งฉันเมื่อตอนเช้านั้น ถูกรถชนตาย โดยที่ฉันไม่มีทางรู้เลย เพราะว่าสมัยนั้น ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ เรื่องเจ้าข้าวจี่ตายนั้น พ่อแม่ของฉันรู้ดี แต่ไม่สามารถบอกฉันได้ พ่อกับแม่ สั่งให้น้าหมี นำข้าวจี่ไปฝังไว้ใกล้กับเล้าเป็ด ซึ่งน้าหมีเองเป็นคนขุดหลุมฝังให้ “ ไม่น่าเลย เจ้าข้าวจี่ไม่น่าไปเลย ” น้าหมีพูดออกมา

เมื่อเสร็จกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยแล้ว เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ อาจารย์ก็ได้ปล่อยให้ฉันกลับบ้าน ฉันคิดในใจว่า ฉันคงจะกลับบ้านช้ากว่าใคร กว่าจะถึงบ้านคงจะเป็นเวลา 4 ทุ่มแน่เลย และวันนี้ก็เช่นเคย เจ้าข้าวจี่มารอรับฉันที่ท่ารถ พอฉันก้าวลงจากรถ ก็เห็นข้าวจี่เช่นเคย แม้จะดึกมากแล้วก็ตามแต่ แล้วฉันก็พูดกับข้าวจี่ว่า ไป ข้าวจี่ กลับบ้านกัน แล้วฉันก็เดินตามทางลูกรังที่ยาวไปข้างหน้า ปากก็พุดอยู่กับเจ้าข้าวจี่ ไปเรื่อย ๆ ทั้งทั้งที่เจ้าข้าวจี่นั้นพูดไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเพื่อนคุยเอาเสียเลย เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงสวนที่ฉันเลี้ยงเป็ดไว้ ฉันก็บอกเจ้าข้าวจี่ อีกว่า เฝ้าเป็ดให้ดีนะ เดี๋ยวพี่จะกลับบ้านแล้ว ไป ไปนอนเฝ้าเป็ด เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนะเจ้าข้าวจี่ ฉันสั่งเสร็จฉันก็เดินเข้าบ้านซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเล้าเป็ด พอรุ่งเช้า ฉันก็จะไปมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม ประมาณ 7 โมงเช้าได้ ฉันก็บอกแม่ว่า ฝากปลาทูไว้ให้เจ้าข้าวจี่ที่เล้าเป็ดด้วยนะ ฉันจะไปมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งพอพ่อกับแม่ของฉันได้ยินฉันพูดอย่างนี้ก้มองหน้ากัน แล้วทำท่าทางแปลกใจ ฉันจึงพูดขึ้นว่า มีอะไรหรือ พ่อกับแม่ถึงได้มองหน้าฉันอย่างนี้ พ่อพูดขึ้นก่อนว่า เจ้าข้าวจี่ไม่อยู่แล้ว โดนรถปิคอัพสีเขียวชน ตายเมื่อบ่ายโมงวานนี้ ฉันพูดไปว่า ไม่จริง โกหกใช่ไหมพ่อ เมื่อวานนี้ ฉันยังเห็นข้าวจี่ ไปรับฉันที่ท่ารถอยู่เลย

แต่นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นข้าวจี่ ฉันเสียใจมากและไม่คิดจะเลี้ยงสุนัขอีกเลย


วิญญาณที่ผูกพัน 2

เมื่อนึกถึงอดีตทีไร นั่งยิ้มอยู่คนเดียวทุกที เพราะเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กบ้านอก ก็มีฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ถึงกับยากจน อยู่ต่างจังหวัด อากาศดีมาก พ่อ พาพวกเราไปเช่าบ้านที่เป็นห้องแถว ลักษณะของห้องแถวจะยาวมากกว่ากว้าง แล้วก็จะกั้นเป็นห้องนอนอีกที พวกเราอยู่กัน 9 คน คิดดูสิว่า 9 คนอยู่ในห้องแถวห้องเดียวอยู่กันได้อย่างไร นอนก็ต้องกางมุ้งนอน แบ่งเป็น 2 มุ้ง คือมุ้งของพ่อและแม่ อีกมุ้งเป็นมุ้งของลูกอีก 7 คน นอนรวมกัน

แต่ก็มีความอบอุ่นทางใจ ไม่มีใครมีปัญหา เรื่องจะมีอยู่ว่า ข้างห้องแถวที่พวกเราอยู่นั้น เขาจะเป็นห้องแถวที่รับซื้อของเก่าทุกชนิด ประเภทเหล็ก ทองแดง ขวด กระดาษ อลูมีเนียม หนังควาย และอีกสารพัดมากมาย อาซิมแก่ๆ เป็นเจ้าของกิจการที่ว่านี้ ส่วนสามีอาซิมแกไปมีภรรยาน้อย ปล่อยให้อาซิมอยู่ตามลำพังกับลูกสาวคนเดียว ทุกๆเย็น อาซิมจะเอาเก้าอี้ ออกมานั่งริมถนนชยางกูร เก้าอี้นี้เป็นเก้าอี้เหล็กทรงกลม แบบที่ใช้นั่งดื่มชา กาแฟในสมัยก่อน และอาซิมจะคอยเฝ้าดูรถบรรทุกที่วิ่งผ่านไปยังอำเภออำนาจเจริญ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นอำเภออำนาจเจริญ ขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานีอยู่เลย

และแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่ออาซิมได้ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวชนเข้า ตายคาที่ตรงนั้นเลย คนแถวนั้นก็ตะโกนว่า มีคนถูกรถชน มีคนถูกรถชน ซึ่งตอนนั้น ฉันและครอบครัวกำลังทานอาหารเย็นอยู่ เมื่อมีคนตะโกนจึงออกไปดู พบว่า อาซิม ได้นอนสิ้นใจอยู่ตรงนั้น ฉันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปลอบลูกสาวอาซิม และบอกกับศพอาซิมว่า อาซิมไปดีแล้ว ลูกสาวอาซิมอยู่กับพวกเรา ไม่ต้องเป็นห่วงนะ

ช่วงที่อาซิมตายลง ลูกสาวอาซิมได้ไปว่าจ้างพวกเราให้มานอนเป็นเพื่อนด้วย โดยให้ค่าจ้างคืนละ 1.50 บาท ในสมัยนั้น 1.50 บาทมีราคามาก คิดดู ก๋วยเตี๋ยวชามละ 25 สตางค์ เท่านั้นเอง เราจึงตอบตกลงไปนอนเป็นเพื่อนลูกสาวอาซิม

ญาติอาซิม นำศพอาซิมไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเป็นเวลา 7 วัน เพราะอาซิมตายโหง ห้ามนำศพเข้ามาในบ้าน เรามานอนเป็นเพื่อนลูกสาวอาซิม คืนที่ 1- 5 ก็ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด

และแล้วเรื่องก็เกิดขึ้น ในวันที่ 6 ของการตั้งศพ สวดพระอภิธรรม เมื่อลูกสาวอาซิม แอบนำผู้ชาย เข้ามานอนในบ้าน ตามความเชื่อโบราณ ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย กล่าวไว้ว่า วันที่ 6 ของการนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล วิญญาณจะมาหาผู้ที่วิญญาณนั้นยังเป็นห่วงอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ ลูกสาวอาซิม

ในที่สุด ผีอาซิม ก็ได้มาหาลูกสาว ในวันนั้นที่พวกเรามานอนเป็นเพื่อนด้วยนั่นแหละ อาซิมหลอกหลอนคนที่มานอนกับลูกสาวตน หลอกเสียจนผู้ชายคนนั้นกลัวไปเลยทีเดียว ส่วนพวกเราก็ได้แต่ร้องว่า ผีหลอก อยู่อย่างนั้น ตะโกนแข่งกันกับลูกสาวอาซิม ถึงขนาดกับว่า พ่อซึ่งอยู่ห้องติดกัน ต้องทุบกำแพงเข้ามาหาเลยทีเดียว แต่พอพ่อมาถึง อาซิมก็จากไป

พ่อเล่าให้เราทุกคนฟังว่า เหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เป็นเพราะอาซิมยังเป็นห่วงลูกสาว จึงตั้งใจที่จะมาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย แต่ทุกคนกลับคิดว่า มาหลอกหลอนกัน เสียมากกว่า วันเผาอาซิม เราจึงไปบอกศพอาซิมว่า ลูกสาวอาซิม เราจะช่วยดูแลเอง ทำให้เหตุการณ์แบบเมื่อคืนนี้ไม่เกิดขึ้นอีกเลย

4 เดือนต่อมา ลูกสาวอาซิมก็ได้แต่งงานกับผู้ชายคนที่มานอนกับลูกสาวอาซิมในวันนั้น แต่เพราะผู้ชายคนนี้ ต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ ลูกสาวอาซิมจึงมาจ้างเราไปนอนด้วยเหมือนเคย แต่ด้วยความที่เรากลัว จึงไม่มีใครได้ไปนอน จนลูกสาวอาซิมเพิ่มค่าตัวจาก 1.50 บาทไปเป็น 3.50 บาทพวกเราจึงตกลงไปนอนเป็นเพื่อนลูกสาวอาซิม ในใจได้แต่คิดว่า ถ้าเจออาซิมอีก เราก็นอนคลุมโปงกันเลยแล้วกัน เพราะจะได้ได้เงินด้วย

แม้จะผ่านไป 4 เดือนแล้วก็ตาม หาใช่ว่าอาซิมจะไม่มาหาลูกสาวแก ช่วงนี้อาซิมจะมาในรูปของเสียงแทน เช่น ตีสองมีเสียงเคาะเหล็ก ตีสามมีเสียงตาชั่ง ตีสี่มีเสียงกระป๋อง และ ตีห้ามีเสียงอาซิมเองเลย แต่พวกเราอยากได้เงินจึงไม่สนใจอะไรเลย นอกจากนอน นอน นอน



วังสงัด

ใครที่เคยได้อ่านเรื่องราวผี ตอนวิญญาณที่ผูกพัน 1 และวิญญาณที่ผูกพัน 2 มาแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร ก็ติชมกันได้นะ แต่ขอบอกว่า เรื่องทั้ง 2 เรื่องที่ผ่านมานั้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนเองทั้งสองเรื่อง และวังสงัด ก็เป็นเรื่องจริงของพ่อของผู้เขียนเองด้วย

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสมัยที่คุณพ่อของผู้เขียนเอง ยังเป็นหนุ่มวัยประมาณ 24-25 ปี ได้แอบหนีเที่ยว ทำให้คุณแม่ผู้เขียน มีความเป็นห่วงมาก สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ จะไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครโทรตามจิก เหมือนสมัยนี้ สมัยที่ผู้เขียนอยู่จังหวัดอุบลราชธานี ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “วังสงัด” หรือ “ศูนย์รวมผู้หญิงที่ทำงานขายตัว” มีทั้งเป็นวัยรุ่น ถึงวัย 53 ปี เรียกง่ายๆ ก็คือ มั่วสุมกันเลยทีเดียว ช่วงนั้น ฝรั่งจีไอ ก็มาประจำการที่จังหวัดอุบลราชธานีนี้ ก็มามีเมียเช่าที่นี่ด้วย

พ่อเขาก็ไปเที่ยวตามประสาวัยหนุ่ม เรียกว่า เป็นขาประจำกันเลยทีเดียวเชียว พ่อไปถึงวังสงัด ทุกครั้งก็จะมีคนเชียร์แขก เชียร์พนักงานคนโน้นที คนนี้ที คนนี้มาใหม่ก็สวย บริการดี อะไรทำนองนี้แต่การมาเที่ยวในวันนี้ดูแปลกไป พ่อกับเพื่อนพ่อ มองหน้ากัน พลันเกิดความสงสัยขึ้นว่า ทำไมวันนี้ ไม่เห็นมีใครมาวิ่งบริการเหมือนเคย คืนนี้ก็เงียบเย็นผิดปกติ ยังไงไม่รู้

จู่จู่ ก็มีผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง เดินอ้อมออกมาทางห้องที่เคยเป็นที่โชว์ตัวผู้หญิงขายบริการรวมกันอยู่ มาถึงผู้หญิงคนนี้ ไม่ทันได้ถามไถ่อะไรเลย หน้าก็ยังไม่ทันเห็น ยังไม่ทันได้มองว่าสวยสักแค่ไหนกันเชียว พลัน มือของหล่อนก็คว้าจับข้อมือของเพื่อนพ่อ เพื่อนพ่อก็สะบัดมือออก ไม่ยอมไปกับผู้หญิงคนนี้ พ่อเลยพูดขึ้นว่า เดี๋ยวพ่อไปแทนก็ได้ ให้เพื่อนพ่อรออยู่ข้างนอกก่อน

พูดแล้ว พ่อก็คิดดีใจอยู่ลึกลึกว่า เออ ! แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียทิป ค่าพนักงานเชียร์แขก คิดแล้ว พ่อก็เดินตามผู้หญิงคนนั้นไป แต่พ่อก็ยังเอะใจ ที่ตามทางเดินไม่มีพนักงานคนไหนเลย จะถามหล่อนก็ไม่กล้าที่จะถามหล่อน แล้วหล่อนก็พาพ่อขึ้นไปที่ชั้นสอง บันไดก็ผุ เหยียบทีไร รู้สึกเหมือนจะร่วงลงมาชั้นล่างทุกที ราวกับว่าขาดคนดูแล ต้องค่อยๆ ก้าวเดินไปทีละขั้น และก้าวอย่างระมัดระวัง พอไปถึงห้องที่มีไว้สำหรับออฟลูกค้า หล่อนก็บอกให้พ่อนั่งรอหล่อนอยู่บนเตียง พ่อก็รอ แต่พ่อรู้สึกว่ามันนานมากผิดปกติ ดูนาฬิกาก็ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว หล่อนยังไม่มา ในขณะนั้นเวลาตีสองแล้ว พ่อกำลังคิดที่จะกลับ ทันใดนั้นเองหล่อนก็โผล่ออกมา แต่การโผล่ของหล่อนในครั้งนี้นั้น หล่อนแลบลิ้นยาวมาก ผมก็ยาวกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก สุดจะบรรยาย มิหนำซ้ำ หล่อนยังตวัดลิ้นผ่านหน้าของพ่อไป วินาทีนั้นไม่มีคำไหนจะบรรยายได้อีกแล้ว นอกจากคำว่า ผีหลอก พ่อฉันนั้นได้ร้องตะโกนออกมา เพื่อนพ่อที่มาด้วยกัน ได้ยินดังนั้นก็วิ่งหนีเอาตัวรอดไปตั้งไกล ปล่อยให้พ่ออยู่คนเดียวใน วังสงัด พ่อวิ่งออกมาจากห้องได้ พ่อคิดที่จะรีบวิ่งลงมาที่ชั้นแรก แต่จู่จู่ บันไดที่พ่อกำลังเหยียบก็เกิดหักได้ยังไงก็ไม่รู้ พ่อจึงตกลงมาที่ชั้น 1 แต่พ่อต้องเอาชีวิตรอด จึงวิ่งออกมาจาก วังสงัด วิ่งไปได้สักพัก ก็ไกลอยู่พอดู พ่อรู้สึกว่า ที่ขาแข้งมันเย็นๆ แปลกๆ พอก้มลงมองดู เลือดออกเยอะมาก แล้วพ่อก็หมดสติไปตรงนั้นเลย
มารู้ตัวอีกที ก็เกือบ 7 โมงเช้าแล้ว พอดีว่าชาวบ้านแถวนั้นเขาผ่านมา จึงช่วยกันปฐมพยาบาล จนพ่อฟื้นขึ้น ถามไถ่กันเสร็จจึงรู้ความว่าผีที่หลอกพ่อเมื่อคืนนี้ เป็นผีเมียเช่าฝรั่ง แย่งลูกค้ากันแล้วแทงกันตาย ตรงที่ห้องที่พ่อได้ไปนั่งรอนั่นแหละ และวังสงัดนั้น ก็ถูกปิดตายมานานราว 4-5 เดือนแล้ว เพราะผีมันเฮี้ยน ทุกวันนี้ พ่อ มองเห็นขาตรงหน้าแข้งทีไร ก็จะพูดให้ลูกๆ ได้ฟังเสมอ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นแผลที่ใหญ่มาก เกือบถึงหัวเข่า ทำให้พ่อ ไม่กล้าที่จะแอบหนีเที่ยวอีกเลยปัจจุบันนี้ ใครที่ได้ไปเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานี ลองไปถามคนที่อุบลดูสิว่า รู้จัก “วังสงัด” กันบ้างไหม ถ้าไม่ใช่คนเก่าแก่ก็คงจะไม่รู้ เพราะว่า วังสงัด ก็จบลงในคืนนั้น เหมือนกัน



ลาดพร้าว 41

ผู้เขียนเอง เคยเปิดร้านเสริมสวยอยู่ที่ถนนที่ว่านั้น เมื่อประมาณ 16 ปีมาแล้ว มีความเชื่อเสมอว่า เรื่องเร้นลับมีอยู่เสมอ ทั้งที่วิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้ ถ้าผู้ที่ประสบมา ไม่เคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ก็จะไม่เชื่อเหมือนกัน โบราณบอกว่า คนที่เจอเรื่องราวแบบนี้บ่อยๆ เป็นคนที่ชอบสวดมนต์ทำสมาธิ ทำบุญมาดีระดับหนึ่งเหมือนกัน ถึงจะเจอ เพราะเขาเหล่านั้นจะมาขอส่วนบุญ ก็คงจะจริงอย่างที่ว่า เมื่อมีพระรูปหนึ่ง ที่ อ.บางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ทักผู้เขียนว่า เมื่อตอนที่ผู้เขียนไปนั่งสมาธิที่วัดป่าที่อำเภอที่ว่านี้ ท่านบอกว่า ผู้เขียนเอง อดีตชาติ เคยนั่งสมาธิมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ถ้ามาครั้งต่อไป พระท่านขอให้ผู้เขียนมา 3 วัน อธิษฐานสิ่งใดก็จะได้สมความปรารถนา ถ้าจะพูดให้คนเห็น ง่ายๆคือ เหมือนเราเคยปั่นจักรยานได้ตอนเด็กๆ แต่พอเราโตขึ้นสัก 4-5 ปี เห็นจักรยานที่ไหนก็ปั่นได้ที่นั่น ไม่ต้องมาหัดใหม่อีก บุญกุศลเหมือนกัน ก็จะต่อยอดให้เราจากอดีตชาติ มาถึงปัจจุบันได้เหมือนกัน ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า ใครที่เคยทำความดีมา ถ้าความดียังไม่ตอบสนอง ก็อย่าไปท้อแท้นะ พยายามต่อไป สู้ สู้

เออ ! เข้าเรื่องเลยดีกว่า ร้านเสริมสวยที่เปิดที่ว่านี้ ลูกค้าก็จะไม่ค่อยมากเท่าไรหรอกนะ แต่ก็มีมาเรื่อยๆ พออยู่ได้ ร้านเปิดมาหลายเดือน ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพราะผู้เขียนเอง จะไหว้เจ้าที่ ที่นั่นประจำ ยกเว้น วันไหนเหนื่อยมาก ก็มีบ้างที่ขาดการไหว้ไป แล้วคืนหนึ่งประมาณตี 2 เห็นจะได้ สามีของผู้เขียนเอง ขอลาพักร้อน หนึ่งอาทิตย์ ก็มีเรื่องแปลกคือ โซฟาที่วางบริเวณห้องเสริมสวย เสียงมันยุบตัวลง เหมือนมีใครมานั่ง สามีผู้เขียนช่วงนั้นก็กำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่ ปกติเขาจะเป็นคนนอนดึกมาก ได้ยินอย่างนั้น เขารีบเปิดประตูห้องนอนดู มองไปที่โซฟา ก็ไม่เห็นใคร ก็ปิดประตูกลับเข้ามา คิดว่าคงหูแว่วเข้าไปเอง อ้อ ลืมบอกไปว่า ห้องเสริมสวย จะอยู่หน้าสุด ห้องนอน จะอยู่ติดกับห้องเสริมสวย ใครทำอะไร เราจะได้ยินหมด สักพักก็ได้ยินเสียง เสียงเปิดก๊อกน้ำสระผม ก็เปิดประตูห้องมาดูอีก ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไร มีแต่ความว่างเปล่า คิดอยู่ในใจว่า เจออะไรอีกแล้ว แต่ไม่พูด จนกระทั่งสามีผู้เขียนเอง ก็ไปทำงานเพราะ ครบกำหนดวันพักร้อนแล้ว แต่เขาจะเปลี่ยนเข้าทำงานเป็นกะกลางคืน ผู้เขียนเองก็ต้องนอนคนเดียว และแล้วก็เจอดีจนได้ นอนหลับไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนเห็นยายแก่ๆ มานั่งชิดตัวผู้เขียนเอง ก้มหน้าลงมาไม่เห็นหน้า เขานะ เห็นแต่รูปร่าง เขาผอมมาก ใส่ผ้าถุงลายทางสีดำ เสื้อคล้ายเสื้อคอจีน แขนกระบอกเก่าๆ และก็ขาด สีของเสื้อหม่นๆ สกปรกมาก แล้วก็พูดออกมาว่า ขอมาอยู่ด้วยนะ โดยหน้ายังคงก้มหน้า เหมือนเดิม ผู้เขียนก็บอกว่า อยู่ไม่ได้ อยู่ได้ยังไง ยายเป็นใคร ไม่รู้จักกัน และจะอยู่ได้ยังไง เขาก็บอกอยู่ได้ ช่วงที่คุยกันอยู่ เชื่อไหม ตัวผู้เขียนเองขยับไม่ได้ เหลือเชื่อจริงๆ สวดมนต์ในใจก็ขยับไม่ได้ เขายังคงพูด ขออยู่กับผู้เขียนอย่างนั้น ยังยืนยันอยู่ ประมาณ 10 นาที ผู้เขียนถึงขยับตัวได้ พอขยับตัวได้ ก็ไม่เห็นยายคนนั้นอีกแล้ว หายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แล้วต่อมาผู้เขียนก็ย้ายออกมา อยู่แถวสุขาภิบาล 1 เป็นเวลาเกือบปี จู่จู่ ก็เจอน้องคนที่เคยอยู่ลาดพร้าว 41 ด้วยกัน เลยถามสารทุกข์สุกดิบกัน เป็นยังไงบ้าง ยังอยู่ที่เดิมอยู่ไหม ผู้เขียนถามน้องเขาดู พลางคิดในใจว่า จะมีใครเจอเหมือนเราไหม น้องเขารีบตอบเลยว่า โถ พี่ พอพี่ย้ายออกไม่ถึงเดือนดี เสียงอะไรไม่รู้ อยู่ในห้องพี่ บางวันก็มีเสียง โหยหวน คล้ายเสียงคน ออกมาจากห้องพี่ที่เคยเช่านะ โดยเฉพาะวันพระและวันโกน นอนกันไม่ได้ทั้งชั้น ต้องย้ายออกหมด พอน้องเขาพูดอย่างนี้ ผู้เขียนยังคิดในใจเลยว่า ถ้าเราไม่ย้ายออก อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเรา ดีนะที่ย้ายออก ท่านผู้อ่านลองคิดดู ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คิดแล้วยังขนหัวลุกอยู่เลย ทุกวันนี้ หอพักนั้น ก็ถูกรื้อทิ้งไปนานแล้ว ผ่านไปทางนั้นทีไร ไม่กล้าที่จะมองทุกที



หมอผีตายเพราะผี

เมื่อสมัยแม่ของผู้เขียน ยังเด็ก ท่านเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกับผู้เขียน แต่ว่าน่ากลัวกว่า มาก เพราะตาคำ คือเพื่อนบ้าน ของคุณยายผู้เขียน แกเป็นหมอผี ที่ไม่ใช่ทางไสยศาสตร์ แต่เป็นไปทางสายดำ แต่จะเน้นไปทางที่ช่วยเหลือคน ใครที่โดนผีปอป ผีตายโหง เข้าสิงทีไร ชาวบ้านแถวนั้นเป็นต้องเรียก ตาคำ ไปปัดเป่าให้ แม้กระทั่งมีดบาดมือ เท้าโดนตะปูตำ ยังงี้ แกเก่งทางคาถาอาคมมาก และแกก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ใครให้ไปช่วย แกก็ไปช่วยโดยไม่คิดค่าตอบแทน วันหนึ่ง ชาวบ้านต่างหมู่บ้าน ได้มาขอความช่วยเหลือจากตาคำ ให้แกไปทำพิธีไล่ผี ที่สิงหลานชายของยายแดง ตาคำแกก็ไป กว่าจะไปถึงบ้านยายแดงก็พอดี มืดค่ำ พอไปถึง แกก็ทำพิธีว่าคาถาไล่ผี จนในที่สุด หลานชายยายแดงก็ปลอดภัย ยายแดงก็ดีใจ เชิญตาคำไปพักที่บ้านแก สักคืน แกก็ไม่พัก เพราะแกเป็นไม่ค่อยค้างที่ไหน เสร็จธุระแกต้องกลับบ้านสถานเดียว ไม่ว่ายายแดงแกจะบอกว่า คุ้งน้ำท้ายหมู่บ้าน ที่ตาคำจะเดินผ่านไปยังหมู่บ้านของตาคำ มีคนถูกฟ้าผ่าตาย เมื่อกลางเดือนที่แล้ว เฮี้ยนมาก คอยหลอกคนที่ผ่านไปมา แถวนั้น แต่คุ้งน้ำนั้นจะมีปลาชุกชุมอยู่ ตาคำแกก็บอก “ดี จะได้หาปลากลับไปกินที่บ้าน” พูดเสร็จแกก็ลายายแดงกลับทันที

พอถึงคุ้งน้ำที่ว่านี้ แกก็จัดแจงเอาอุปกรณ์การจับปลา ออกมาจับปลาทันที แกกำลังจับปลาเพลินๆอยู่ แกก็ต้องวิ่งร้องขอความช่วยเหลือไปตลอดทาง ท่าทางของแกเหมือนคนบ้า พอถึงบ้านแก แกก็ยังร้องขอให้คนช่วย แกวิงเข้าทางหน้าบ้านลงหลังบ้าน เป็นอยู่อย่างนี้ หนึ่งวันเต็มๆ พอวันที่ 3 แกก็เสียชีวิต ทิ้งปริศนาให้ญาติๆ แก งงกันว่า แกเป็นอะไร คงโดนผีหลอก แต่ผีตนไหนกล้าหลอกแกได้ ในเมื่อคาถาอาคม ของแกก็แก่กล้าขนาดนั้น



วิญญาณที่ผูกพัน 3

จริง ๆ แล้ว ผู้เขียนเอง ก็อยากจะเขียนเรื่องวิญญาณที่ผูกพัน 3 เรื่องนี้ ต่อจากเรื่องวิญญาณที่ผูกพัน 1 และ วิญญาณที่ผูกพัน 2 ซึ่งเป็น 2 ตอนแรก ที่ผ่านมา แต่ว่ากลัวอ่านกันแล้วจะมีแต่เรื่องขนหัวลุก ก็เลยเขียนเรื่องอื่น คั่นไปก่อน ขอยืนยันว่า เรื่องทุกเรื่อง ได้เกิดขึ้นจริงกับผู้เขียนเองทั้งนั้น ดังเรื่องจะเล่าต่อนี้ อีกเช่นกัน เมื่อ 17 ปีมาแล้ว เห็นจะได้ ผู้เขียนและสามี อยากได้รถมาขับ สักหนึ่งคัน ตั้งใจว่า จะหาเป็นรถกระบะ ไว้บรรทุกสินค้า เอาไว้ขายตามตลาดนัด วันไหนว่างจากงานประจำ ก็จะได้พากันไปขายของตามตลาดนัดทั่วไป ดูไปดูมา ก็ไปเจอรถยนต์ มือสอง สีแดง อยู่คันหนึ่ง สามีผู้เขียนอยากได้รถคันนี้มาก แต่ในใจผู้เขียนเอง ไม่ค่อยชอบรถคันนี้เท่าไร แต่ขัดใจสามีไม่ได้ เลยเข้าไปสอบถามเรื่องราคา ค่างวดต่างๆ ก็พอส่งได้ แต่ไม่รับปากว่าจะออกรถคันนี้ให้ เชื่อไหมท่านผู้อ่านทั้งหลาย ตกกลางคืน รถคันนี้ มาเข้าฝันสามีของผู้เขียน ในฝันฝันว่า รถเข้ามาจอดในบ้าน เปิดไฟหน้าส่องเข้ามา

พอรุ่งเช้า สามีของผู้เขียนเล่าให้ฟัง ผู้เขียนก็พูดออกไปว่า รู้แล้วว่าชอบรถคันนี้มาก ไม่ต้องเก็บเอามาฝันมากจนขึ้นสมองหรอก เดี๋ยวรวบรวมเงินแล้วจะเอาไปออกรถให้

หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็พากันไปออกรถคันนั้น โดยคิดว่า ดูฤกษ์มาดีแล้ว ตอนนั้นสามีผู้เขียนก็ยังไม่มีใบขับขี่เลย และก็ขับรถไม่เก่งเท่าไรด้วย แต่ด้วยความที่ใจรัก อยากจะออกให้ได้ จึงพากันไปซื้อรถคันนี้

พอช่างตรวจสอบรถเรียบร้อย หลังจากทำสัญญาก็ส่งมอบรถให้สามีผู้เขียน สามีผู้เขียนก็ไปสตาร์ทเครื่อง แล้วก็เปิดแอร์ปิดประตู เป็นเรื่องเลยทีนี้ กระจกหน้าต่างด้านคนขับ แตกเพล้งเลย ทุกคนมองหน้ากันหมด ผู้เขียนบอกว่า ไม่เป็นไร ดูฤกษ์มาดีแล้ว ออกรถวันนี้ได้ แต่เซลล์ขายรถบอกว่า จะเปลี่ยนให้ ก็ตกลงโดยรออีกประมาณ 1ชั่วโมง ก็ได้เอารถมาขับ

ออกรถมาแล้ว ก็ต้องพากันไปเที่ยวสิ ก็พาคนค้ำประกัน กับพ่อ ผู้เขียน ไปกินเลี้ยงกัน พ่อ ผู้เขียนบอกว่า ให้ ผู้เขียนซื้อหวยเลขทะเบียนรถ เผื่อมันจะออก แต่ ผู้เขียนไม่ได้ซื้อ ปรากฏว่า หวยออกทะเบียนรถจริงๆ 3 ตัวตรงด้วย เหลือเชื่อจริงๆ

จากนั้น ผู้เขียนและสามีก็กลับไปทำงานตามปกติ ที่กรุงเทพฯ ซึ่งสามี ผู้เขียนเลือกที่จะเดินทางตอนกลางคืน เพราะว่ากลัวตำรวจตรวจใบขับขี่ จะว่าไป เครื่องยนต์รถคันนี้ก็ดีนะ เร่งถึงไหนถึงกัน รู้สึกสามี ผู้เขียนจะเหยียบความเร็ว 120-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เลยละ แล้วก็ประหยัดน้ำมันด้วย

เมื่อออกรถมาแล้ว สามี ผู้เขียนก็นำรถไปแต่ง เปลี่ยนล้อแมกซ์ ใส่เครื่องเสียงใหม่ ใส่ปลายท่อใหม่ หมดไปหลายตังค์เลยละ รู้สึกเขาจะเห่อรถมากๆ แต่ก็เอาเถอะ ความสุขของเขา ถือว่า ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ให้เขาทำไป

พอผ่านมาเดือนสองเดือน ก็มีธุระไปต่างจังหวัด ที่ศรีสะเกษ เดินทางตอนบ่ายๆ ไปถึงบุรีรัมย์ตอน 2-3 ทุ่ม จะมีถนนเลี่ยงเมือง ตัดไปจังหวัดสุรินทร์ มันจะมีแยก ซึ่งดูแล้วค่อนข้างเปลี่ยว สามีผู้เขียนขับตามรถบรรทุกน้ำมัน จะแซงก็แซงไม่ได้ เพราะมันคันใหญ่ แล้วก็บังเลนหมดเลย อยู่ๆ รถน้ำมันคันนั้นก็ชะลอลง แล้วตบไฟเลี้ยวซ้าย สามีผู้เขียนก็เลยแซง ทีนี้ จังหวะที่แซงนั้น มันเป็นสี่แยก ซึ่งตอนแรก เราไม่รู้ว่า เป็นสี่แยก ผู้เขียนและสามีผู้เขียน ตกใจมาก เพราะมีรถสวนกันอยู่ แต่สามีผู้เขียนมีสติ จึงเหยียบคันเร่งไป จนพ้นสี่แยก แล้วก็จอดรถข้างทาง มองหน้ากัน แล้วจึงมองกลับไปดูที่สี่แยกที่ผ่านมาว่า รอดได้อย่างไร แต่ว่า เอ๊ะ!!! รถน้ำมันคันนั้นหายไปไหน !!! สามีผู้เขียนลงจากรถไปดูว่ารถน้ำมันอยู่ไหน เพราะเมื่อกี้ยังวิ่งตามกันมาอยู่เลย อยู่ๆ สามีผู้เขียนก็วิ่งขึ้นมาที่รถ แล้วรีบขับรถออกไป ผู้เขียนจึงถามสามีว่า มีอะไร เขาจึงตอบว่า ก็รถน้ำมันที่มองหาว่าจะด่ามันนะ มันเป็นซากรถที่เขาทิ้งไว้ เตือนคนขับรถโดยประมาทนะสิ รถมันเป็นคันเดียวกับที่เราขับตามนั่นแหละ จำทะเบียนได้ เอาละสิ ในใจผู้เขียนคิดว่า รอดมารได้เพราะรถคันนี้ที่ช่วยไว้ และเพราะเราเอาไปให้หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ที่วัดสระกำแพงใหญ่ ท่านเมตตาเจิมให้ ถึงได้รอดมาได้

หลังจากเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ก็พากันกลับ โดยเลือกเวลากลางคืน เหตุผลเหมือนเดิม คือกลัวด่านตำรวจ ทำยังกะค้ายาบ้านะ เพราะยังไม่มีใบขับขี่ คราวนี้กลับมาอีกเส้นทางหนึ่ง เพราะว่ากลัวสี่แยกนั้น ปกติถนนสายนี้ จะมีรถวิ่ง เยอะมากๆ แต่วันนี้ไม่ใช่ ราวๆตีสองเห็นจะได้ น้ำมันใกล้หมดเต็มที สามีผู้เขียนจึงนำรถไปเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันเล็กๆ ดูแล้วค่อนข้างเปลี่ยว จนผู้เขียนไม่กล้าลง คนในปั๊มก็น้อยมาก ส่วนใหญ่คนจะมาจอดนอน พักรถ เติมน้ำมันเสร็จ สามีผู้เขียนก็ขับรถไปจอดที่ร้านขายของ แล้วจู่จู่ ก็มีรถกระบะมาจอดข้างๆเรา ในรถมีคนหลายคน เป็นผู้ชายหมด ท่าทางไม่น่าไว้ใจ เพราะเขามองเราทั้งคู่ จนรู้ตัว สามีผู้เขียนจึงออกรถต่อไป พอขับไปได้สักพัก รู้สึกว่าจะเปลี่ยวกว่าเดิมอีก คือไม่มีรถวิ่งสวนทางมาเลย ผู้เขียนปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยจะทำทางไปไหนได้ ก็ว่า เรามาผิดทางหรือเปล่า สามีผู้เขียนบอกว่า ถูกแล้ว ชัวร์ แต่ผู้เขียนก็ไม่ค่อยแน่ใจ จึงมองไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หลังรถ บริเวณกระบะหลัง เห็นคนนั่งมาเต็มท้ายรถ แต่ละคน แต่งตัวเหมือนชาวไร่ ผู้เขียนตกใจมาก รีบหันหน้ากลับ ไม่พูดอะไร กลัวสามีจะตกใจ คิดว่าตอนออกมาจากปั๊ม ไม่มีใครขอมาด้วยนี่ แล้วคนพวกนี้มาได้อย่างไร ไม่ใช่คนแน่ๆ กลัวมาก จนบอกสามีว่า ขอนอนก่อนนะ แต่จริงๆแล้ว นั่งสวดมนต์ต่างหาก สามีผู้เขียนก็ไม่รู้ ขับรถไปเรื่อยๆ แต้รู้สึกว่าจะขับเร็วกว่าเดิมมาก เหมือนจะบินเลยหละ ทำไมขับรถเร็วจัง อย่าตกใจนะ มีรถกระบะตามเรามา ไม่น่าไว้ใจ เพราะมันจี้เรามามาก จะแซงก็ไม่แซง พอแซงแล้วก็จอดรถขวางเรา จะให้เราจอด พอเราไม่จอด มันก็จะจี้เรามาอีก แล้วก็ทำแบบเดิม มันคงคิดที่จะปล้นเราแน่ๆ สามีผู้เขียนรู้อย่างนั้นก็เหยียบคันเร่ง จนมิด ประมาณ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ ถ้าจำไม่ผิด ผู้เขียนเกิดมาก็ไม่เคยนั่งรถเร็วแบบนี้ จนกระทั่งหนีมันพ้น มันไม่ตามมาแล้ว เพราะจะเข้าเขตชุมชน เฮ้อ สามีผู้เขียนอุทานออกมา รอดแล้วเราผู้เขียนบอกว่า ทีหลังอย่ามากลางคืนอีกนะ กลัว

จนมาถึงอีกปั๊มหนึ่ง ซึ่งเป็นปั๊มในเขตเมือง คนเยอะ สามีผู้เขียนจึงจอดรถเพื่อจะพักรถ แล้วเขาก็อัดบุหรี่ใหญ่ คงจะเครียดเรื่องเมื่อกี้แน่ๆ ผู้เขียนเองก็มองไปที่ท้ายรถ ไม่เห็นใครแล้ว จึงรู้เลยว่า เจอดีอีกแล้ว จึงเล่าให้สามีฟัง สามีผู้เขียนตกใจมาก ทำบุหรี่หลุดมือเลย สามีผู้เขียนจึงนำสร้อยพระ ไปแขวนที่กระจกมองหลัง แล้วเขาก็พนมมือ ไหว้ท่องคาถาใหญ่เลย แล้วเขาก็บอกว่า ไปทีนี้ไม่มีอะไรอีกแล้ว โชคดีแล้ว ก็เลยกลับขึ้นรถต่อไป รู้สึกว่า อุ่นใจขึ้นเยอะ

พอกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็มีอยู่วันหนึ่ง เอารถไปจอดไว้ใกล้ๆที่ทำงาน เจอเพื่อน ซึ่งจอดรถอยู่ใกล้ๆ เพื่อนถามว่า นายพาใครมาด้วย สามีผู้เขียนมองหน้าผู้เขียน คิดในใจว่า เอาอีกแล้ว จึงบอกเพื่อนว่า ไม่มีใคร นายตาฝาดหรือเปล่า เพื่อนทำหน้างง บ่นว่า เมื่อกี้ ยังเห็นอยู่เลย พอเพื่อนไปแล้ว จึงมาคุยกันว่า รถก็เจิมแล้ว รดน้ำมนต์แล้ว ทำไมยังมีอะไรอีก จะทำอย่างไรดี ผู้เขียนคิดได้ว่าจะต้องไปธุระที่บ้านพ่อแม่ ที่ต่างจังหวัดอีก ก็เลยโทรไปหาพ่อ แล้วเล่าให้พ่อฟัง พ่อเลยบอกว่า มีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่ง อยู่ที่อำเภอราศีไศล เขาว่าท่านเก่งเรื่องไล่ผี เจิมรถ แก้คุณไสย ก็เลยตกลง จะให้พ่อพาไป สามีผู้เขียนก็เห็นดีด้วย ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง พอตกเย็นเลิกงาน จะกลับบ้าน ก็ไปที่รถ สามีบอกว่า เอาอีกแล้ว ยางแตกอีกแล้ว ยางแตกต้องรอก่อนนะ เขาก็ทำการเปลี่ยนล้ออะไหล่เอง เอาแม่แรงขึ้น ทำไปบ่นไป ไอ้รถบ้าเอ๋ย ทำไมต้องยางแตกอีกแล้ววะ เดี๋ยวจะขายทิ้งซะเลย อยู่ๆ สามีผู้เขียนก็ร้องลั่น โอ๊ย ช่วยด้วย ผู้เขียนจึงรีบไปช่วย พบว่า แม่แรงล้มลง แล้วล้อก็ล้มมาทับมือสามี ระหว่างล้ออะไหล่กับบังล้อ รีบไปตามคนมาช่วยเร็ว สามีบอก พอดีมีคนกำลังเอารถมาจอดใกล้ๆ เขาก็มาช่วย ตั้งแม่แรงใหม่ แล้วก็ช่วยสามีออกมา เขาก็บอกว่า แม่แรงมันไม่ล้ม แต่พื้นปูนที่ตั้งแม่แรง มันแตก คุณรีบไปหาหมอซะ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปมาก ผู้เขียนรีบขอบคุณเขา ที่มาช่วยสามี พอเขาไปแล้ว จึงมาดูสามีที่มือเจ็บ ผู้เขียนคิดว่า คงนิ้วหักแน่ๆ ดูจากสภาพ แต่เขาบอกว่า ไม่เป็นไร เขามีของดี ขอนั่งสักพัก แล้วเขาก็พาขับรถกลับ

พอถึงวันที่จะต้องไปบ้านต่างจังหวัด ทำให้ต้องเลือกเดินทางกลางวัน กลัวว่าจะเจออะไรเหมือนคราวก่อน ระหว่างที่กำลังจะเข้าบ้าน รถขับมาดีดี ก็เริ่มรวน ดับดับติดติด ควันขาวเต็มไปหมด ก็เลยงง ! ว่ามันเป็นอะไร ขับมาดีดีอยู่เลย ต้องพากันเข็นเข้าบ้าน

วันรุ่งขึ้น หลังจากตรวจเช็ครถดีแล้ว ก็รีบไปหาพระที่อำเภอราศีไศล พอไปถึงวัด กำลังจะเข้าวัด รถก็ติดติดดับดับ ควันโขมงเต็มหน้าวัดเลย แต่ก็เอาเข้าไปจอดในวัดได้ แล้วก็ไปพบหลวงพ่อ ซึ่งท่านบอกให้ดื่มน้ำ สามีผู้เขียนบอกว่า กินมาแล้ว ไม่เป็นไรครับ หลวงพ่อท่านบอก ไม่ได้ ต้องดื่มอีก พอดื่มเข้าไปรู้สึกเลยว่า วูบวาบ ในตัวเองก็เลยมองหน้าพ่อ และสามี คิดในใจว่า หลวงพ่อต้องมีอะไรดีแน่ๆ

หลวงพ่อท่านบอกว่า รถมันมีวิญญาณของมันอยู่ แต่เพราะผู้เขียนและสามีผู้เขียน ชอบทำบุญ จึงไม่ค่อยมีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวท่านจะเจิมให้ พอท่านมายืนใกล้ๆ เหมือนรถมันจะติดเครื่องเอง ท่านก็เตะเข้าที่กันชนหน้า แล้วท่านก็เข้าไปเขียนยันต์ในรถ แล้วก็เอาแป้งเจิมรถ และพรมน้ำมนต์ ทั้งดัน และบริกรรมคาถา ผู้เขียนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังกลัวอยู่ ว่าจะเห็นอะไรอยู่ที่ท้ายรถอีก

หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยมีอะไรต้องระแวงอีกเลย เพราะพิษเศรษฐกิจปี 40 จึงต้องขายรถคันนั้นไป มันเป็นเพราะความจำเป็น ที่ต้องเอาตัวรอด แต่บางครั้ง รถคันนั้นก็ยังมาเข้าฝันอยู่ เป็นบางครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง ที่ผู้เขียนประสบมา ด้วยตนเอง

หลวงพ่อที่อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ท่านชื่อเกลี้ยง เป็นเจ้าคณะจังหวัด ผู้เขียนไม่แน่ใจเพราะจำไม่ได้ จึงไม่กล้าเอ่ยนาม ต้องขออภัย



คุณตาบวชพระ

ช่วงคุณตาอายุประมาณ 35 ปีเห็นจะได้ คุณตารู้สึกว่าอยากอยู่ในร่มกาสาวพักตร์ จึงได้ไปปรึกษากับคุณยาย บอกว่า อยากบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ คุณยายก็เห็นดีด้วย จึงจัดงานบวชให้ ช่วงที่อยู่วัดวันแรกก็ไม่เห็นมีอะไร ผ่านไปด้วยดี วันที่สองก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีก พอวันที่สามประมาณตีสองกว่าเห็นจะได้ คุณตาซึ่งตอนนั้นเป็นพระ เต็มตัวแล้ว ก็ต้องสะดุ้ง ตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียง เหมือนมีคนมากวาดใต้ถุนกุฏิ ที่คุณตาพักอยู่ ด้วยความที่คุณตาอยากรู้อยากเห็น ก็ยกเสื่อปูที่นอนออก มองลงไปใต้ถุน ซึ่งเมื่อก่อนกุฏิพระ จะปูด้วยพื้นไม้ มองลอดลงไปดูใต้กุฏิจะเห็นหมด ว่ามีใครอยู่ใต้ถุนกุฏิบ้าง พอกวาดสายตาไปรอบๆกุฏิก็ไม่เห็นมีใคร ได้ยินแต่เสียง ในใจท่องนะโมไปเรื่อยๆ อยากรู้อยากเห็น ก็จ้องดูอยู่อย่างนั้น พลันก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเป็นผมยาว กำลังกวาดพื้นใต้กุฏิอยู่ แต่ไม่เห็นคน คุณตาสวดคาถากลับหลังเลย ด้วยความตกใจ จากนะโม เลยกลายเป็น โมนะ สวดผิดสวดถูก ก็พระบวชใหม่ จะเจอดีกันทุกคนที่วัดนี้ ถ้าจิตไม่นิ่งพอ คุณตาจึงรีบปลุกพระที่เป็นรุ่นพี่ที่นอนอยู่ด้วยกัน ตื่นมานั่งสวดมนต์กันใหญ่เลย เชื่อไหมค่ะ ท่านผู้อ่าน เสียงที่กวาดใต้ถุนกุฏิก็ยังไม่หายไปสักที จนเวลาล่วงเข้าเกือบตี 4 ถึงไม่มีเสียงนั้น พอรุ่งเช้าก็เลยเล่าให้เจ้าอาวาสฟัง เจ้าอาวาสก็บอกว่า เขาเป็นเปรตที่อาศัยอยู่วัดนี้ เขาต้องคอยทำความสะอาดให้วัดนี้ เพราะเมื่อตอนเป็นคน เขาขโมยของในวัดกิน เมื่อตายไปจึงไม่ได้ไปผุดไปเกิด คุณตาก็บอกกับเจ้าอาวาสว่า จะลาสิกขา ไม่บวชต่อ เพราะกลัวมาก ไม่อยากอยู่วัดนี้ พี่สาวของคุณตาไม่ยอม บอกว่าอยู่มาแค่ 3 วัน ท่องนะโมก็ยังไม่ได้สักที แล้วจะลาสิกขาได้ยังไง ไม่รู้ละ ยังไง ก็ยังไม่ให้ลาสิกขา ให้บวชต่อไปอีก ให้ครบ 15 วันก็ยังดี คุณตาจำยอมบวชต่อ พอวันที่ 7 ก็เจอดีอีก อาการอย่างเดิม คือ เสียงกวาดใต้ถุนกุฏิ คราวนี้ กวาดออกไปกว้างกว่าเดิม คุณตาก็แผ่เมตตาร่วมกับพระรุ่นพี่ ให้เปรตที่กำลังกวาดใต้ถุนกุฏิพระ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด ตามกระบวนการทางศาสนา ทุกวันนี้ เขาคงไปเกิดแล้วกระมัง ถึงไม่มีพระบวชใหม่ องค์ไหนเจอเปรตตนนี้อีกเลย



น้าหมีเจอดี

เมื่อประมาณปี 28 - 29 น้าหมี น้าของฉันไปเป็นทหารที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ต้องลาดตระเวนทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะแถวนั้นมีผู้ก่อการร้ายเยอะมาก คนตายก็เยอะ มีทั้งถูกปืน ถูกระเบิด บ้างก็พิการ ถ้ายังไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็น น้าหมีจะมีเพื่อนที่เป็นทหารด้วยกัน 10 คน ที่สนิทกันจริงๆ เวลากินก็จะกินด้วยกัน เวลานอนก็จะนอนด้วยกัน ถึงขนาดกรีดข้อมือ เอาเลือดใส่ในขันน้ำ แล้วกินสาบานกันเลยว่า จะไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าจะทุกข์จะสุข ยังไงก็ไม่ทิ้งกัน ทหารทั้ง 10 นายนะ ถ้าเขาสาบานกันขนาดนี้ ต้องรักกันมากจริงๆ ถึงขนาดเป็นเพื่อนตายกันเลย

คืนหนึ่งขณะที่ลาดตระเวนอยู่ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นจากทางด้านหลังของน้าหมี น้าหมีตกใจ ส่งสัญญาณให้ทุกคนพร้อมรบ ให้หาที่หลบกำบังกัน ทางฝั่งน้าหมีดูท่าทางจะได้ที่หลบที่ปลอดภัยกว่าเพื่อน จู่จู่ ก็ต้องตกใจ เมื่อมีชายแก่ตัวอ้วน สูงประมาณ 180 ซ.ม. มายืนกวักมือเรียกให้น้าหมีเดินตามเขาไป น้าหมีก็งง แต่ก็ยังเดินตามชายผู้นั้นไป ยิ่งเดินตามเหมือนยิ่งไม่ทันชายคนนั้น มารู้สึกตัวอีกที ก็เดนเข้าป่ามาลึกมากแล้ว ที่คอน้าหมีห้อยพระหลวงปู่ทวด และชายผ้าถุงยาย ที่อัดกรอบเรียบร้อย ห้อยอยู่ ทำให้น้าหมีไม่ได้รับอันตรายใดใดจากชายคนนั้น แล้วน้าหมีก็หาทางออกจากป่าจนได้ มารวมกันที่กองร้อยเดิม จึงทำให้น้าหมีรู้ว่า เมื่อคืน ถ้าไม่เดินตามชายคนนั้นไป น้าหมีต้องตายแน่ๆเลย เพราะเพื่อนน้าหมีตายไป 6 คน แสดงว่าเจ้าป่าเจ้าเขา เรียกให้ไปหลบ จึงปลอดภัย น้าหมีนึกขอบคุณชายผู้นั้น ที่ช่วยให้พ้นอันตราย ส่วนเพื่อนทั้ง 6 คนที่เสียชีวิต ทางการก็ให้นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด น้าหมีต้องลาราชการไปเผาศพเพื่อน เพื่อนบางคนก็ไม่เฮี้ยน บางคนก็เฮี้ยน ก็มีเพื่อนที่ชื่อ ป๋อง คนนี้ใจนักเลงมาก กล้าได้กล้าเสีย พอตายไปก็ตามหลอกเพื่อน น้าหมีเจอเบากว่าเพื่อน คือ หน้าห้องน้าหมีที่พัก จะมีตะกร้าใส่ขยะอยู่หน้าห้อง น้าหมียังไม่ทันเดินถึงหน้าห้องเลย แค่มองเห็นว่าจะถึงหน้าห้องแล้ว ถังขยะเจ้ากรรม ก็เหมือนมีใครเตะมาหาน้าหมี มันแรงมาก พอน้าหมีพูดว่า เออ ! รู้แล้วว่ามาส่ง เอ็งกลับไปเถอะ เชื่อไหม ถังขยะที่กลิ้งอยู่นั้น หยุดทันที ตั้งแต่นั้นมา พอปลดประจำการ น้าหมีก็ไม่ไปสมัครทหารรอบสองอีกเลย เพราะภาพคนตาย ภาพอะไรหลายอย่างอีกหลายภาพ มันยังติดตาน้าหมีอยู่จนถึงทุกวันนี้



ที่พัก 183

เสียงเด็กๆ วิ่งเข้าห้องโน่น ออกห้องนี้ อย่างมีสุขก็เพราะว่า เด็กๆเหล่านั้น ไม่เคยอยู่บ้านที่กว้างๆ อย่างนี้ บ้านมี 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ อาณาเขตกว้างมาก ผู้เขียนเอง ก็อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นเด็กๆ มีความสุข เขาพากันทำความสะอาดกันยกใหญ่ ตกแต่งทาสีให้ดูสวยงาม พากันไปซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งบ้าน แบ่งหน้าที่กันคนละอย่าง ไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยเลย ทุกคนพร้อมใจกัน ทำงานบ้านอย่างหนัก เพราะเป็นบ้านมือสอง และแล้ว ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ไม่ช้า บ้านก็ใหม่น่าอยู่ ตกกลางคืนก็แบ่งห้องนอนกันว่า ใครจะเอาห้องไหน ผู้เขียนเองจองห้องโถงใหญ่เพราะข้าวของเยอะ

อยู่ได้ 3 วันวันที่ 4 ก็เจอดี พอดีเป็นวันพระ ผู้เขียนเองต้องสวดมนต์ครบทุกบท ถือว่าสวดมนต์ใหญ่เลยทีเดียว พอสวดมนต์เสร็จก็ต้องนั่งสมาธิต่อ ขณะที่จะใส่ชุดขาวเพื่อสวดมนต์ เหมือนมีใครจ้องมองดูผู้เขียนอยู่ ผู้เขียนเองก็คิดว่า เออ ! เราคงเป็นโรคจิตแน่ๆ แล้วทำไมแล้วทำไมรู้สึกอย่างนั้น ก็เลยเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปลี่ยนชุดเป็นชุดขาว พอออกจากห้องน้ำ ขนที่แขนก็ลุก ไม่ยอมลง เลยเรียกเด็กๆ มาดูว่าทำไมขนแขนถึงลุก ไม่ยอมลง สามีผู้เขียนได้ยิน ก็เลยบอกว่า เจ้าที่เจ้าทางของบ้านรับรู้มั้งว่าจะแผ่เมตตาให้เขา ผู้เขียนก็เลยคิดว่า คงจะจริง เหมือนที่สามีพูด ไม่คิดอะไร ก็เดนไปห้องพระ จุดธูป จุดเทียนบอกพระประธานอันมีหลวงปู่แหวน, พระพุทธชินราช, หลวงปู่ทวด, หลวงพ่อเปิ่น, หลวงพ่อคูณ แล้วขอขมาผีบ้านผีเรือน ว่าถ้าเสียงสวดมนต์ของข้าพเจ้าไปรบกวนผีบ้านผีเรือน ก็ให้ออกไปอยู่ที่อื่นก่อน ข้าพเจ้าจะสวดมนต์ กล่าวจบผู้เขียนเองก็ตั้งจิต ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็สวดไปเรื่อยๆ พอถึงตอนที่จะแผ่เมตตา ก็ได้ยินเสียงผู้ชายร้องมาว่า ใครวะ มาสวดมนต์แถวนี้ ใคร ใคร ผู้เขียนสะดุ้ง รีบลืมตา แล้วมองไปที่หลวงปู่แหวนที่อยู่ข้างหน้า คิดในใจว่า หลวงปู่ ใครมาร้องแถวนี้ แต่ก็ไม่มีคำตอบจากหลวงปู่ ผู้เขียนก็คิดว่า หูแว่วไปเอง หลับตาต่อเพื่อจะแผ่เมตตา ก็ต้องสะดุ้งอีก ด้วยประโยคเดิม ผู้เขียนเลยไม่มีสมาธิ ก้มกราบลาหลวงปู่เพื่อหยุดการสวดมนต์ แผ่เมตตา วันรุ่งขึ้น ผู้เขียนป่วยเลยทีนี้ หายใจไม่ออก ใครในบ้านมาพูดคุยด้วยจะโมโหร้ายมาก หงุดหงิด ก็งงว่าเป็นอะไร เลยไปหาหมอดูไพ่ป๊อก เชื่อไหม ท่านผู้อ่าน หมอดูทัก ไพ่ใบแรกว่า ผู้เขียนโดนวิญญาณเฮี้ยน ลองดีแล้ว ผู้เขียนตกใจ มองหน้าหมอดู และหมอดูก็ยังทักอีกว่า เจ้าที่ที่บ้านหลังนั้น มาให้เจอแล้ว ร่างสูงใหญ่นะ มีหลายชาติ เพราะอดีตเป็นที่ฝังศพเก่าของอิสลาม จีนก็มี คือเมื่อก่อน บ้านที่ผู้เขียนอยู่นั้นเป็นบึงน้ำ เขาก็เลยไปเอาดินจากที่อื่นมาถม ซึ่งผู้เขียนไม่เคยรู้มาก่อน พอมาดูหมอดูถึงรู้ว่า เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วหมอดูก็ยังทักอีกว่า ให้รีบย้ายออก เดี๋ยวเจอมากกว่านี้ ผู้เขียนเลยรีบย้ายออก ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เรื่องครั้งนั้นทำให้ผู้เขียนไม่ยอมสวดมนต์ไปตั้ง 3 เดือน เพราะอดน้อยใจไม่ได้ว่า ทำไมเราตั้งใจที่จะทำดี ต้องมีมารมาผจญ เดี๋ยวนี้ก็กลับมาสวดมนต์เหมือนเดิมแล้ว เพราะคิดว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม



คุณย่าเสีย

ที่อุบลราชธานี บ้านเกิดผู้เขียนเอง ชาวบ้านที่ใกล้เคียง รวมทั้งพ่อ แม่ผู้เขียน และญาติพี่น้องทั้งหลาย ก็กำลังยุ่งกับเรื่องงานศพของย่า ซึ่งไม่มีใครโทรบอกผู้เขียนสักนิดว่า ย่าเสีย เพราะเขากลัวผู้เขียนเสียใจ เลยไม่มีใครโทรบอกผู้เขียนเลย ย่าเป็นคนเลี้ยงผู้เขียนมาตั้งแต่ผู้เขียนยังเด็ก ทำให้ผู้เขียนรักย่ามาก แต่ก็น่าจะบอกสักนิดก็ยังดี แต่มันก็ไม่มีใครบอก

วันนั้นผู้เขียนยังจำได้ ตอนตี 2 เห็นจะได้ ปกติผู้เขียนจะนอน 4 ทุ่ม แต่ทำไมวันนี้ไม่ง่วง ยังพูดกับตัวเองเลยนะ ว่าทำไมไม่ง่วง ห้องผู้เขียนเองจะอยู่ชั้นล่าง แล้วจะมีเหล็กดัดตรงระเบียง ต่อจากห้องนอน เวลาเปิดประตู ลมจะเย็นมาก ตรงระเบียงจะมีต้นมะม่วงต้นใหญ่มากอยู่ข้างบ้าน ปลูกมาแล้วหลายสิบปี ในเมื่อนอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมาดูหนัง ฟังเพลงมันซะเลย เพราะบรรยากาศรอบๆดุวังเวงยังไงไม่รู้ วันนั้นมันเงียบจริงๆ ถ้าไม่คิดอะไรก็ยังน่ากลัว เปิดดูหนังได้สักพัก หูก็แว่วๆ ได้ยินเสียงเรียกชื่อผู้เขียน แต่ผู้เขียนไม่ขานรับ เสียงมาจากทางระเบียง ยิ่งมืดๆดึกๆอย่างนี้ ใครมาเรียกโบราณเขาถือ ห้ามขานรับ เขาว่าผีมาเรียก ผู้เขียนไม่ได้ยินแค่ครั้งเดียว แต่ได้ยินหลายๆครั้ง ก็เลยเดินเข้าไปดูที่ระเบียง มองก็ไม่เห็นชัดหรอกนะ แต่ยังพอมีแสงไฟสลัวๆจากข้างบ้าน สาดส่องมาอยู่ เห็นเป็นย่ามายืนอยู่ตรงข้างต้นมะม่วง ใส่เสื้อคอกลมสีขาวผ้าฝ้าย ที่ย่าชอบใส่ แล้วก็ใส่ผ้าถุงเกือบถึงหัวเข่า ยืนนิ่งตรงอยู่ครู่เดียวก็หายไป ผู้เขียนตกใจ รีบสะบัดศรีษะ แล้วพูดในใจว่า ง่วงจนตาลายแน่ๆ เลย เห็นย่ายืนอยู่ข้างต้นมะม่วงได้ไง ในเมื่อย่าก็ยังอยู่ที่อุบลราชธานีอยู่เลย พอรุ่งเช้าก็เลยโทรไปถามพ่อกับแม่ว่าย่าสบายดีไหม เป็นยังไงบ้างทางบ้าน แม่ไม่ตอบแต่พ่อตอบกลับมาว่า ย่าเสียแล้ว เสียได้ 3 วันแล้ว รวมวันที่ผู้เขียนโทรมาด้วย ผู้เขียนเลยต่อว่าพ่อไปว่า เรื่องอะไรย่าถึงเสีย แล้วทำไมไม่มีใครโทรบอก พ่อเลยโดนชุดใหญ่เลย แล้วผู้เขียนถึงรู้ว่า ย่าลื่นล้มในห้องน้ำ พอพาไปโรงพยาบาลก็อาการหนัก เพราะย่าอายุ 95 ปีแล้ว สิ้นใจที่โรงพยาบาล ผู้เขียนก็เล่าให้พ่อฟังเรื่องเมื่อคืนนี้ ว่าเห็นย่ามาหา ยังคิดว่า ตาฝาดอยู่เลย จริงๆแล้วมันก็คือเรื่องจริงนี่เอง แสดงว่าย่าจะมาบอกลาผู้เขียนว่า ไม่อยู่แล้วนะ ผู้เขียนร้องไห้ไม่ออกเลย มันหลบข้างในหมด มาร้องอีกทีก็เข้าสู่วันที่ 7 แล้ว เพราะไม่ได้เตรียมใจในเรื่องแบบนี้ ท่านผู้อ่านคนไหนที่มีปู่ ย่า ตา ยาย เลี้ยงดู มาตั้งแต่ยังเด็ก คงจะมีความผูกพันกับเขาเหล่านั้น เหมือนผู้เขียน ย่าเขาจากไป เหมือนชีวิตเราขาดอะไรไปบางอย่าง จริงไหม และตั้งแต่ย่าจากไป ไม่เคยมาให้เจอ และฝันเห็นเลย ทั้งๆที่ในใจลึกๆ ผู้เขียนเองก็อยากจะเจอเหมือนกัน

เคล็ดลับตามโบร่ำโบราณ บอกว่า ถ้าคนสูงอายุลื่นล้ม ให้ตบก้น 3 ทีแล้วพูดว่า ดื้อจังเลย เดี๋ยวตีให้ตาย แล้วคนสูงอายุคนนั้นจะรอดจากการเป็นอัมพาต แน่นอน ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ช่วยบอกต่อเพื่อเอาบุญด้วย กรณีย่าผู้เขียนเอง พ่อแม่เขาไม่รู้



วิญญาณที่ผูกพัน 4

เมื่อปี 30 น้าหมีได้ภรรยาชื่อ “นี” เป็นเด็กเชียงใหม่ อ.ง้าว น้านี เป็นคนรูปร่างสันทัด ขาว วันวันก็ไม่ค่อยพูดกับใคร น้าหมีเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ตกเย็นจะมีเพื่อนน้าหมี มาที่บ้านเยอะทุกวัน จะชวนกันกินเหล้า แล้วไปต่อกันที่ห้องอาหาร ซึ่งมีหญิงบริการนั่งดริ้งค์ ทำให้ผู้ชายที่ต่างจังหวัดชอบเที่ยวกัน น้านีเป็นคนที่น่าสงสารมาก กำพร้าพ่อมาตั้งแต่เด็ก น้องสาวอีกคนก็ไปทำงานที่ญี่ปุ่น ทำให้น้านีอยู่กับแม่เพียง 2 คน มองดูก็คล้ายๆ กับว่าน้านีเป็นคนเก็บกดอยู่เหมือนกัน แม้กระทั่งผู้เขียนเองพูดคุยด้วย น้านีก็จะพูดคำตอบคำ อยู่มาได้ประมาณ 2 ปี น้านีก็ป่วยบ่อยมาก จนคนที่บ้านทุกคนคิดว่า น้านีเป็นเอดส์หรือเปล่า อาการเหมือนโรคอย่างที่ว่านี้ น้าหมีเองก็เที่ยวกลางคืน ทำให้ใครๆคิดกันไปต่างๆนานา อาการของน้านีทรุดเร็วมาก ทำให้น้าหมีตัดสินใจพาน้านีไปที่บ้านน้านีที่เชียงใหม่ เพื่อไปรักษาต่อ พอไปถึงบ้านน้านี ชาวบ้านรวมทั้งแม่น้านีก็บอกว่า น้านีผิดผี ต้องขอขมาผีก่อน เพราะน้านีมาอยู่กับน้าหมีโดยไม่ได้แต่งกัน มาอยู่ด้วยกันเฉยๆ ทุกคนก็ทำพิธีขอขมาผีตามประเพณีของทางบ้านน้านี แต่ก็ช่วยอะไรน้านีไม่ได้เท่าที่ควร เพราะน้านีมาอยู่ที่บ้านได้ไม่ถึง 2 เดือน น้านีก็เสียชีวิต น้าหมีก็เสียใจมาก บวชหน้าไฟให้น้านี แล้วก็พักอยู่ที่บ้านน้านีต่ออีก 1 เดือน เพราะสงสารแม่น้านี พอครบ 1 เดือน น้าหมีก็ลากลับบ้านที่อุบลราชธานี จะมาอีกทีก็ ทำบุญ 100 วัน น้าหมีกลับถึงอุบลราชธานีก็เศร้าโศกเสียใจมาก การงานก็ไม่เป็นอันทำ อยู่ไปแบบซังกะตาย พอครบ 100 วัน น้าหมีก็พาพ่อ แม่ หลาน 1 คน และผู้เขียนขึ้นเชียงใหม่ ออกจากอุบลราชธานีเวลาประมาณตี 5 ขับรถกันไปเรื่อยๆ ถามทางกันไปบ้าง เพราะครั้งนั้นน้าหมีมารถประจำทาง พอมาครั้งนี้ ขับรถกันมาเอง เลยจำไม่ได้ มาถึงอำเภอง้าว ประมาณเที่ยงคืน ทางที่ผ่านจะไปบ้านน้านี ก็จะมีตลาดสด ซึ่งตอนนั้นเขาหยุดขายกันแล้ว ไม่มีแม่ค้าสักคน เงียบมาก จู่จู่ ก็ต้องตกใจกันทุกคน เมื่อมองไปที่ตลาดเห็นน้านีนั่งอยู่บนแผงขายของ ของแม่ค้า ในท่าหย่อนขาลงพื้น เหมือนนั่งคอยใคร ไม่มีใครพูดเหมือนโดนสะกด พ่อรีบจอดรถข้างทาง เพื่อจะดูให้แน่ใจว่าเป็นน้านีหรือเปล่า มองไปอีกทีก็ไม่เจอแล้ว พวกเราทุกคนก็โกยเต็มที่เลย พอไปถึงก็เล่าให้แม่น้านีฟัง แม่น้านีก็ร้องไห้เลย บอกว่าคงห่วงผัวแน่ พอทำบุญ 100 วันเสร็จ น้าหมีจีบผู้หญิงคนไหน เป็นต้องเผ่นหนีทุกที เพราะผู้หญิงพวกนั้นจะเห็นน้านีมาคอยหลอกหลอนอยู่เรื่อย แรกๆ น้าหมีก็ไม่เชื่อ แต่พอพวกผู้หญิงเหล่านั้น พูดลักษณะต่างๆ ออกมาให้ได้ยิน พูดเหมือนกันทุกคน คราวนี้ก็ต้องเชื่อเพราะลักษณะที่พูดออกมานั้น เป็นลักษณะของน้านี ช่างน่าสงสารน้านีจริง เป็นคนก็น่าสงสาร เป็นวิญญาณก็ยังน่าสงสารอีก



ลองของ

ในยุคปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีอยู่ ในสังคมปัจจุบันนี้ก็ยังมี ท่านผู้อ่านหลายท่านก็คงจะประสบพบเจอมาบ้างแล้วก็คงจะมีเหมือนกัน ไม่มากก็น้อย ผู้เขียนเชื่ออย่างนั้น ดังเรื่องราวต่อไปนี้

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับน้องสาวผู้เขียนเอง และผู้เขียนก็อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ตัวน้องสาวผู้เขียนเขาเป็นคนหน้าตาดี รูปร่างก็ดี มีหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ มาติดพันเยอะพอสมควร ถ้าจะให้บอกอายุคนที่มาติดพัน ก็มีตั้งแต่ 22-48 ปี ทั้งๆที่น้องสาวผู้เขียนอายุ 31 ปี แต่ถึงแม่จะมีหนุ่มมาติดพันเยอะ น้องสาวผู้เขียนก็ไม่สนใจ จนกระทั่งมาเจอสามีเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่เช่าอยู่แถวๆรัชดาภิเษก มาชอบน้องสาวผู้เขียน คนนี้เป็นคนแถวทางภาคใต้ ในเมื่อเขารู้ว่าน้องสาวผู้เขียนไม่สนใจ เขาเลยพึ่งทางไสยศาสตร์ คืนไหนหลับตานอน น้องสาวผู้เขียนก็นอนไม่หลับ นึกเห็นแต่หน้าสามีเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่เช่าอยู่ ทีแรก น้องสาวผู้เขียนไม่คิดอะไรมาก คิดว่า คิดมากไปเอง อยู่มาได้ 6 เดือนอาการเป็นหนัก โมโหร้าย พูดจาไม่มีมารยาท ไม่ว่ากับเด็ก หรือผู้ใหญ่ วันดีคืนดีจะกระโดดเหมือนมังกร ที่เขาเชิดในวันตรุษจีน นึกออกไหมค่ะ พอเที่ยงตรงของทุกวัน เลยทีนี้ จะเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด นั่งยิ้มอยู่คนเดียวด้วย ต้องเดือดร้อนถึงพ่อแม่และผู้เขียนเองก็ต้องออกจากงานในช่วงนั้น เพื่อตระเวนหาหมอดู พระที่ไหนที่ว่าเก่งๆ อยากรู้ว่าน้องสาวผู้เขียนเขาเป็นอะไร วิ่งหาพระให้ดูว่าโดนอะไรมาหรือเปล่า วัดไหนที่ว่าดัง ที่ว่าดี ไปหาหมด ไปถึงสุรินทร์ก็ไปมาแล้ว เขาบอกว่าพระเขมรเก่งก็ไป แต่ก็ไม่ได้ผล จนมาเจอคนที่เขาเห็นอาการของน้องสาวผู้เขียน แล้วเขาบอกว่า แนะนำให้พาไปหาอาจารย์ที่ถอดไสยศาสตร์ ให้ที่หนองจอก ท่านเป็นคนอิสลาม ก็พากันไป เข้าไปลึกมาก มีแต่ป่าและทุ่งนา เชื่อไหม คนแถวนั้นไม่ยอมบอก ต้องจ่ายค่ารายทาง 200-300 บาทก็มี ถึงได้บอก แต่เขาก็กำชับมาบอกว่า อย่าบอกใครนะ ว่าใครบอกมา ผู้เขียนก็รับปาก พอไปถึงบ้านอาจารย์ที่ว่านี้ ท่านก็บอกว่าไม่ได้ทำของแบบนี้แล้ว หยุดไปหลายปีแล้ว พ่อแม่ผู้เขียนก็ร้องไห้ ท่านเมตตาน้องสาวผู้เขียนบ้างเพราะจนปัญญาจริงๆ ไม่รู้จะไปพึ่งใครเมื่อท่านเห็นอาการน้องสาวผู้เขียน ท่านก็คิดอยู่นาน ก็รับปาก ช่วงที่พาไปบ้านอาจารย์ น้องสาวผู้เขียนก็อาละวาด จนถึงบ้านอาจารย์ท่านนี้ ก็ยังอาละวาดอีก กระโดดไปมา พูดภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง อาจารย์ท่านนี้ก็มองหน้าน้องสาวผู้เขียน ปากของอาจารย์ก็ท่องคาถาไปเรื่อยๆ มือก็เคาะพื้นบ้าน 3 ครั้ง น้องสาวผู้เขียนก็สงบลงทันที หยุดกระโดด นั่งเรียบร้อย แล้วท่านก็นัดให้มาอาบน้ำมนต์ วันต่อมาก็พาน้องสาวมาอาบน้ำมนต์ ช่วงที่น้องสาวผู้เขียนนั่งต่อหน้าถังน้ำมนต์ น้ำในถังหมุนแรงมาก เหมือนมีใครเอามือลงไปกวน พออาจารย์ท่านท่องคาถาเสร็จ ท่านก็ให้อาบน้ำมนต์ น้องสาวผู้เขียนร้องลั่นเลย ปากซีดเหมือนคนกำลังจะตาย อาจารย์บอกว่า อย่าเข้าไปใกล้นะ ของที่คนเขาทำใส่น้องสาวผู้เขียนแรงมาก เป็นตะปูตอกโลงผีตายโหง เป็นทรายก็มี เป็นเส้นผมก็มี ซึ่งมันก็ไม่น่าเชื่อ พออาบน้ำมนต์ครบ 7 วัน อาการก็ดีขึ้น อาจารย์ท่านแนะนำให้ผู้เขียนพาน้องสาวไปทำบุญเยอะๆ เพราะบุญจะช่วยเขาอีกแรง ทุกวันนี้อาการของน้องสาวผู้เขียนก็ไม่ได้ดีเต็ม 100 % นะ ยังมีอาการบางอย่างเหลืออยู่บ้าง แต่น้อยมากแล้ว พ่อแม่ผู้เขียนเลยพาไปเปลี่ยนชื่อใหม่ เผื่อจะได้ดีขึ้น เมื่อผู้เขียนเปลี่ยนชื่อให้น้องสาวแล้ว เชื่อว่าน้องสาวของผู้เขียนก็จะเป็นคนใหม่ ซึ่งพวกเราเชื่อกันอย่างนั้น



ตำหนักเจ้า

เศรษฐกิจทุกวันนี้ ไม่ดีเอามากๆเลย ท่านผู้อ่านทั้งหลาย คงเจอพิษเศรษฐกิจในยุคนี้ เหมือนกันใช่ไหม ยังไงๆ ก็อดทนเอาหน่อยแล้วกัน การที่คนเราจะดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างดีนั้น ต้องมีการวางแผนชีวิตไว้แต่เนิ่นๆ มีแผน 1 วางไว้อย่างไร ถ้าไม่ดีก็ตามด้วยแผน 2 ถ้ายังคิดไม่ออกอีก ก็ย้อนไปออกแผน 1 งงไหม พูดเล่นนะ ผู้เขียนเอง ก็ไม่อยากให้ท่านผู้อ่านซีเรียส เห็นเขียนกระทู้ว่า มีท่านผู้อ่านหลายคน กำลังจะตกงาน พยายามตั้งสติให้ดี การมีสติ จะควบคุมทุกอย่างได้ คนเราในไม่มีทางออก ก็มักจะพึ่งหมอดูบ้าง พึ่งวาสนาบ้าง จริงๆแล้ว พึ่งตัวเราเองดีที่สุด มีหลายคนที่ไม่สบายใจ แล้วมาหาผู้เขียน ปรึกษาหารือในเรื่องราวต่างๆ มีอยู่รายหนึ่ง คิดไม่ตกในชีวิต ก็ได้มาหาผู้เขียน เหมือนคนอื่นเขา แต่รายนี้ชอบสวดมนต์นะ ยังมีปัญหาชีวิตอีก ผู้เขียนเองก็รู้จักตำหนักทรงเจ้าไม่กี่ที่ แต่ละที่ก็ค่าครู 39 บาท ไม่ใช่ว่าชอบของถูกนะ แต่คนที่เขาจะช่วยเหลือคนจริงๆนะ ค่าครูไม่แพงหรอก พอผู้เขียนพาพี่เขาไปตำหนักทรงเจ้า ที่ผู้เขียนรู้จัก แต่ไม่เคยไปลงทรงดูนะ ก่อนพ่อปู่จะทรง ก็จะมีการจุดดอกไม่ธูปเทียนใช่ไหม พานไหว้ครูก็มีบุหรี่ หมากพลู ตามปกติ ผู้เขียนกำลังจุดธูปอยู่ดีดี พี่ที่ผู้เขียนพามาด้วย หัวเราะลั่นเลย ไม่ยอมจุดธูป ผู้เขียนก็สะกิด เขาบอกว่า พี่จุดธูปก่อนซิ หัวเราะเป็นกุมารทองอยู่ได้นะพี่ เราก็นึกกลัวๆ มองกลับมาดูเจ้าของตำหนักที่จะลงทรง โอ๊ย ! พระเจ้าช่วย ทำไมดูเหมือนคนแก่ อายุราวๆ 100 กว่าปี เสียงก็แหบแห้งเหมือนคนแก่มากๆ ทั้งๆที่อายุคนทรง 40 ต้นต้นเอง กำลังแสดงท่าทีที่โกรธจัด ที่มีคนมาหัวเราะใส่ตำหนักของเขา ผู้เขียนเอง นั่งอยู่ตรงกลาง ทำอะไรก็ไม่ถูก บอกให้พี่ที่มาด้วยหยุดหัวเราะ พี่เขากลับหัวเราะดังยิ่งขึ้น เจ้าของตำหนักก็ถามพี่เขาว่า เจ้ามาจากไหน ทำไมถึงทำอย่างนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำอย่างนี้ ข้าจะให้เจ้าเป็นบ้า ผู้เขียนก็พูดขึ้นมา พ่อปู่ทำไมพูดอย่างนี้ มันไม่ดี แล้วเรื่องอะไรจะให้พี่เขาเป็นบ้า พ่อปู่บอกว่า พี่เขามาลบหลู่ ไม่ศรัทธาในตำหนัก ผู้เขียนก็ขอโทษ แทนพี่เขาแล้วกันนะ เพราะตอนนั้น พี่เขาไม่รู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป พอพักใหญ่ๆ พี่เขาได้สติ ผู้เขียนก็รีบพาออกมาจากตำหนักนั้นเลย รู้สึกว่า เขาปล่อยอะไร ก็ไม่รู้ ตามพวกเรามา แต่ผู้เขียนและพี่เขา ค่อนข้างจะเคร่งเรื่องธรรมะ ก็เลยไม่มีผลอะไร มารู้ตัวอีกทีก็ 2-3 วันต่อมา ว่าเจ้าของตำหนักเรียนไสยดำด้วย



ยามเฝ้าหมู่บ้าน

หมู่บ้านนี้อยู่แถวๆ สุขาภิบาล 2 เมื่อสมัยก่อน เงียบและเปลี่ยวมาก ถนนยังคงเป็นถนนลูกรัง ป่าละเมาะก็เต็มไปหมด จะให้ใครมาทำธุระให้แถวนี้ ไม่มีใครอยากมาทำธุระให้ อีกอย่าง ก็เป็นบริเวณฝังศพของคนศาสนาอิสลาม ขนาดกลางวัน เมื่อ 30 ปีก่อน ผู้เขียนมารับของที่ไปรษณีย์แถวหมู่บ้านที่ว่านี้ ยังกลัวเลย แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า จะได้มาอยู่หมู่บ้านนี้ คนในหมู่บ้านค่อนข้างจะมีน้ำใจมากอยู่เหมือนกัน อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีอาหารอะไรก็แบ่งปันกันบ้างในบางโอกาส ทำให้ผู้เขียนชอบหมู่บ้านนี้มาก ไม่คิดอยากย้ายไปอยู่หมู่บ้านอื่น เพราะก็รู้อยู่แล้วว่าคนหมู่บ้านอื่น บางหมู่บ้านต่างคนต่างอยู่ ก็คงเป็นเพราะสังคมเมือง ไว้ใจใครไม่ได้ ก็เป็นได้ แรกๆ ผู้เขียนก็ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านนี้หรอกนะ เพราะเป็นคนใหม่ที่เพิ่งจะมาอยู่ได้ไม่นาน เหมือนเดิมคือผู้เขียนก็สวดมนต์ แผ่เมตตาตามปกติ เชื่อไหม 2 ปีผ่านไปถึงสัมผัสได้ว่าหมู่บ้านนี้ไม่ธรรมดา คือเรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่สวดมนต์ ประมาณ 5 ทุ่มกว่าเอง ช่วงจังหวะที่จะสวดมนต์ต่อไปวรรคอื่น ก็ได้ยินเสียงพระสวดรับ เหมือนสวดภาณยักษ์ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เคยเข้าพิธีที่ว่านี้ แต่มีความรู้สึกว่าใช่ ขนาดเสียงสวดรับยังทำให้น่ากลัวเลย ทีแรกคิดว่า บรรยากาศเงียบวังเวง หูแว่วไปเอง พอหยุดจะต่อวรรคอื่น ก็ได้ยินอีก บ่อยเข้าก็ไม่สนใจ จนสวดเสร็จ พอแผ่เมตตา ได้ยังไม่ทันไร ก็รู้สึกว่า มีผู้ชายอายุประมาณ 28 – 30 เดินผ่านหน้าบ้าน ของผู้เขียน เดินถือหัวผ่านไป แต่สีหน้าเขาเฉยมาก ไม่ได้มองมาที่บ้านผู้เขียนนะ เดินตามปกติ รอบแรก รอบสอง และรอบสาม ผู้เขียนก็ลืมแผ่เมตตาให้ชายที่ว่านี้ เพราะมัวแต่หลับตา ทำสมาธิอยู่ พอรุ่งเช้า ได้พูดคุยถามเพื่อนบ้านว่า เมื่อก่อนนี้มีป้อมยามไหม เพื่อนบ้านก็เล่าให้ฟังหมดเลยว่า เมื่อก่อนนี้มีป้อมยามเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีเพราะยามโดนฆ่าตัดคอ ขณะที่ขี่จักรยาน ตรวจยามหมู่บ้าน โจรที่มาขโมยของในหมู่บ้านก็จับไม่ได้ แค่ฟังถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็สะอึกเลย ก็เลยถามต่อว่า อายุเขาเท่าไร เพื่อนบ้านคนนั้นก็ตอบว่า 30 ต้นๆ มั้ง หรือไม่ถึง 30 ไม่แน่ใจ เพราะเรื่องมันนานมาแล้ว ผู้เขียนเลยบอกไปว่า ผู้เขียนเห็นยามคนนั้น เพื่อนบ้านก็ตกใจ เพราะผู้เขียนเล่าลักษณะสีผิว รูปร่างถูกหมด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก ทุกวันนี้ หมู่บ้านนี้จะมีการทำบุญประจำปีของหมู่บ้าน ทุกปีเลย



นางไม้ ประจำต้นตาล

ครอบครัวของผู้เขียนได้ย้ายคืนมาทำมาหากิน ที่จังหวัดศรีสะเกษ เพราะที่อุบลราชธานี การเงินไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีบ้านที่อุบลราชธานี วันเสาร์ – อาทิตย์ ผู้เขียนกับน้องก็จะไปอุบลราชธานีไปทำความสะอาดบ้าง เพื่อไม่ให้บ้านโทรมเกินไป เพราะไม่มีใครอยู่ก็จะทำให้บ้านโทรมได้ คุณพ่อของผู้เขียนก็มาทำอาชีพช่างตัดผมเลี้ยงลูกๆ เมื่อก่อนฐานะการเงินดีมาก รับซื้อของเก่าทุกชนิด ประเภทของป่า, เหล็ก, อลูมิเนียม, ขวดเปล่า ประมาณนั้น แต่ชีวิตมาหักเห เพราะพ่อโดนโกงไป หลายล้านเหมือนกัน เมื่อเช็คเด้ง พ่อเคยเอาปืน จุด 38 จ่อจะยิงลูกๆ และตัวพ่อด้วย ส่วนแม่ไม่ต้องพูดถึง เอาแต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก เพราะการล้มครั้งนั้น ทำให้ครอบครัวผู้เขียน หมดเนื้อหมดตัวเลย ตัวผู้เขียนเองที่เคยเรียนที่โรงเรียนกินนอน ก็ต้องออกอย่างกะทันหัน ต้องเปลี่ยนมาเป็นที่โรงเรียนวัดแทน ไม่ได้หมายความว่า โรงเรียนวัดไม่ดีนะ โรงเรียนวัดก็ทำให้คนที่จบมาทำงาน เป็นใหญ่เป็นโต ก็มีเยอะแยะไป แต่ผู้เขียนทำใจไม่ได้ มันเร็วเกินไป ในที่สุดก็ได้เรียนโรงเรียนวัด จากพื้นฐานดีมาก่อน ทำให้ผู้เขียนเรียนเก่งกว่าเพื่อน ในสายชั้นทั้งหมด มีอยู่ 6 ห้อง ได้รางวัลต่างๆ มามากมาย ในรางวัลที่ทางโรงเรียนตั้งให้ ก็มี รางวัลเรียนดี แต่ยากจนอยู่ด้วย ฟังดูแล้วก็ไม่อยากรับรางวัลนี้เท่าไรมันขัดกับความรู้สึกมากเลยขณะนั้น แต่ในเมื่อได้ ก็รับเพราะพ่อหาเงินคนเดียว สมัยหนุ่มพ่อเคยเรียนตัดผมหัดเล่น ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ใช้จริง ท่านผู้อ่านก็เช่นกันนะคะ สมัยนี้หัดเรียนอะไรก็ได้ ด้านวิชาชีพก็หัดไปเถอะ บางทีก็ช่วยได้ ในบางโอกาสเพื่อความอยู่รอด ส่วนแม่ก็ทนดูพ่อทำงานหนักคนเดียวไม่ไหว ก็ออกไปเป็นแม่ค้าช่วยอีกแรง พ่อตัดผมหัวละ 7 บาท คิดดูว่าจะไม่หนักได้ไง เลี้ยง 9 คน พ่อมีลูก 7 คน ผู้เขียนเป็นลูกคนแรก ร้านของพ่ออยู่ในบริเวณคิวรถที่วิ่งระหว่างหมู่บ้าน อำเภอ ลูกค้าก็มีเยอะเหมือนกัน เพราะพ่อเป็นคนเข้ากับคนง่าย คงเป็นเพราะพ่อเคยค้าขายมาก่อน เลยไม่มีปัญหา แต่ปัญหาของเรื่องมันมีอยู่ว่า ที่พักของพวกเราอยู่ใกล้กับต้นตาล ซึ่งไม่ใช่มีเพียงต้นสองต้นเท่านั้น แต่มีเป็นสิบ แถมใกล้กับบริเวณป่าช้าเก่า ที่เขาได้ทำพิธีล้างป่าช้าแล้ว ถึงจะล้างยังไง ผู้เขียนเองก็เชื่อว่ายังมีอยู่ ไม่หมดซะทีเดียว หมายถึงวิญญาณที่อยู่แถวนั้น เพราะทุกคนในบ้านของผู้เขียนเจอหมด พร้อมกันทั้ง 9 คน ใกล้รุ่งตี 4 กว่าๆ ขณะที่แม่ก็ปลุกลูกๆ ตื่นเพื่อไปตลาดกัน ไปจอง ล็อกขายของ ใครไปเช้าก็จะได้ ล็อกดีหน่อย ขณะที่ล้างหน้าแปรงฟันกันอยู่ จู่จู่ ก็เห็นผู้หญิง อายุประมาณ 22 – 25 ออกมาจากต้นตาล ใส่ชุดสไบเฉียงสีขาว แล้วยังมีควันบางๆ ลอยออกมาด้วย แต่ควันไม่มาก เห็นพอให้รู้ว่า มีควันลอยมาด้วย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เดินหายไปทางด้านหลัง ต้นตาลต้นอื่น พ่อแม่ก็เห็นด้วย ซึ่งตอนนั้น ผู้เขียนและน้องๆก็ไม่กลัวกันนะ เพราะไม่รู้ว่าคืออะไร ถามพ่อกับแม่ ท่านก็ตอบว่า เป็นนางไม้ประจำต้นตาล แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ เป็นนางไม้หรือนางอะไร เราก็ไม่เอาทั้งนั้น

Advertising Zone    Close

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...